เบื้องลึก เบื้องหลัง ข้อเท็จจริง พระลิขิต


เรื่องพระลิขิตผมได้เล่ามานับว่าละเอียดพอควร ที่ไม่เคยรู้ถ้าติดตามก็พอจะรู้ตื้นลึกหนาบาง พอรู้แล้วก็อยากรู้ไปอีกว่ามันจบลงอีท่าไหน มีเหตุปัจจัยอะไรมาทำให้จบ เอาละผมจะเล่าให้ฟัง

การประชุมมหาเถรสมาคม ในวันจันทร์ที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๒ เวลา ๑๔.๐๐น. นายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา เลขาธิการมหาเถรสมาคมได้นำเอา เอกสารที่อ้างว่าเป็นลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชรวม ๕ ฉบับ ที่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายนำเข้าสู่การพิจารณาของมหาเถรสมาคม โดยกำหนดไว้เป็นวาระในการประชุม

ก่อนที่จะถึงวันประชุม ทั้งพระภิกษุ ฆราวาส ตลอดพวกกลุ่มที่เคลื่อนไหวแสดงความรักและปกป้องพระพุทธศาสนา ต่างโหมประโคมข่าว เกี่ยวกับพระลิขิตว่าจริงหรือปลอม ทางมหาเถรสมาคมจะมีมติอย่างไรกับพระลิขิต ขณะเดียวกัน ม.ล. จิตติ นพวงษ์ ช่วยงานสมเด็จพระสังฆราช ได้ให้สัมภาษณ์ว่า เหตุที่สมเด็จพระสังฆราชไม่เข้าร่วมประชุม มส. ในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๒ นั้นเนื่องจากทรงเห็นว่าได้ทรงทำหน้าที่ประมุขสูงสุดอย่างดีที่สุดแล้ว และรับสั่งว่าเรื่องนี้เป็นอำนาจมหาเถรสมาคมที่จะตัดสินได้ตามความเหมาะสม หากพระองค์มาประชุมจะทำให้มติ มส. ไม่สมบูรณ์

เมื่อถึงวาระพิจารณา ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบแล้วมีมติที่ ๑๙๗/๒๕๔๒ เรื่องพระดำริสมเด็จพระสังฆราช โดยมหาเถรสมาคมมีมติสนองพระดำริมาโดยตลอด แต่ให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม

หลังการประชุม เวลา ๑๗.๑๕ น. นายพิภพ กาญจนะ ในฐานะเลขาธิการเถรสมาคม ได้แถลงผลการประชุมมหาเถรสมาคมเกี่ยวกับเรื่องดำริสมเด็จพระสังฆราช ปรากฏว่าผู้สื่อข่าวและประชาชนที่รอฟังผลไม่พอใจมติมหาเถรสมาคม หาว่ากำกวมไม่มีการชี้ชัดว่าพระธมฺมชโยยังคงเป็นพระภิกษุอยู่หรือไม่

ที่ผมต้องทบทวนเกี่ยวกับการพิจารณาพระลิขิตกรณีวัดพระธรรมกายนั้น เนื่องจากมีการสร้างกระแสกดดันมหาเถรสมาคมให้จัดการกับวัดพระธรรมกายให้เด็ดขาด แต่มหาเถรสมาคมกลับมีมติกลางๆไม่ชี้ชัดฟันธงว่า เป็นพระลิขิตปลอมหรือจริง 

***ข้อเท็จจริงนั้นในวงการคณะสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ท่านรู้ว่าที่มาของพระลิขิตนั้นผิดปกติ แต่ท่านก็รักษาสถานะขององค์ประมุขของสงฆ์ให้พ้นจากข้อติฉินนินทาทั้งปวง แต่คนบางกลุ่มไม่มีวุฒิภาวะในการรับรู้ในการต้องประคับประคององค์กรสูงสุดของคณะสงฆ์ แม้มหาเถรจะมีมติดังกล่าวแล้วก็ตามเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ยังมีอยู่ สื่อมวลชนเสนอข่าวไปในทางที่ทำให้มหาเถรสมาคมเสียหาย พูดง่ายๆก็คือต้องการรู้ว่าเป็นพระลิขิตจริงหรือปลอม ทางฝ่ายวัดพระธรรมกายก็มิได้แสดงท่าทีอะไรกับมติ มส. คงใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ทุกอย่างจึงยังอึมครึมเสมือนท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยเมฆฝนแต่ฝนก็ไม่ตก

ต่อมาวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๔๒ ได้มีพระภิกษุจำนวน ๖ รูป ได้เดินทางไปที่สำนักงานกองปราบปราม พร้อมยื่นหนังสือแจ้งความร้องทุกข์ต่อผู้บังคับการกองปราบปราม ว่าคณะสงฆ์มีความสงสัยว่าที่อ้างว่าเป็นพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชนั้นไม่น่าเป็นไปได้ คงจะมีการทำปลอมขึ้นมา ขอให้สืบสวนสอบสวนดำเนินคดีเกี่ยวกับผู้ปลอมแปลงลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราช ในการแจ้งความครั้งนั้น พ.ต.ท.สมศักดิ์ ชวาลวัฒน์ ผกก. ๑ ป. เป็นผู้รับแจ้ง 

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบจำนวนหลายนายได้เดินทางไปที่วัดบวรนิเวศวรวิหาร โดยมีหมายค้นไปทำการตรวจค้นห้องสำนักงานที่ ม.ล.จิตติ นพวงษ์ ช่วยงานสมเด็จพระสังฆราช ทำงานอยู่ ในวงการคณะสงฆ์เป็นที่รับรู้กันว่า หากจะมีข่าวใดๆที่เกี่ยวข้องกับสมเด็จพระสังฆราช ม.ล.จิตติฯ ท่านจะเป็นผู้ให้ข่าวกับสื่อมวลชนพร้อมกับเอกสาร ***เมื่อมีการตรวจค้นเพื่อหาเอกสารต้นฉบับที่อ้างว่าเป็นพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช ปรากฏว่าไม่มีเอกสารที่มีลายพระหัตถ์ตัวจริงแสดงต่อเจ้าหน้าที่ 

ในช่วงนั้นหนังสือพิมพ์รายวันเสนอข่าวพาดหัวว่า กองปราบบุกทลายห้องกระจก แล้วมีรายละเอียดเพียงว่าได้พบเอกสารหลายฉบับ พร้อมเครื่องถ่ายเอกสาร มีการถ่ายภาพต่างๆเก็บเป็นหลักฐาน เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามรายละเอียดในการตรวจค้น ทางเจ้าหน้าที่ก็อ้างว่าต้องรายงานผู้บังคับบัญชาเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

หลังจากวันที่กองปราบบุกตรวจค้นห้องกระจกซึ่งกี่ยวข้องกับการออกพระลิขิตแล้ว ไม่ปรากฏพระลิขิตออกมาอีก และความคืบหน้าเกี่ยวพระลิขิตก็ไม่มีการแจ้งต่อสาธารณชนแต่อย่างใด ผมได้มีโอกาสคุยกับผู้ที่รู้เรื่องนี้ได้ความว่า พี่เป็นทนายความเอกสารใดๆ ก็ตามถ้ามีจริงก็จะต้องมีต้นฉบับ คือมีลายเซ็นต์ของเจ้าของเอกสาร เวลาขึ้นศาลก็ต้องนำเอกสารต้นฉบับเสนอศาลเท่านั้นจึงจะถือว่าเป็นเอกสารจริง แต่ถ้ามาอ้างว่าลายเซ็นต์ที่เป็นสำเนามาจากต้นฉบับจริง ศาลท่านไม่อาจรับฟังเป็นพยานได้สมัยนี้พิมพ์ข้อความอะไรก็ได้แล้วเอาสำเนาลายเซ็นต์มาแปะถ่าย จะทำกี่ฉบับก็ได้

เมื่อไม่มีเอกสารต้นฉบับก็แสดงพิรุธจะมาอ้างว่าหาต้นฉบับไม่พบทนายว่าจะฟังขึ้นมั๊ย ทนายรู้ไหมว่ามีเอกสารที่อ้างว่าเป็นพระลิขิตอีกเป็น ๑๐๐ กว่าฉบับ ถ้าจะเอาเรื่องจริงๆก็จะกระทบกระเทือนกันหลายส่วน ดังนั้นเรื่องพระลิขิตจึงเอวังด้วยประการฉะนี้แล

แม้กรณีพระลิขิตในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายจะจบลงแล้วก็ตาม แต่เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระดำริ หรือพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชก็ยังมีข่าวเกี่ยวกับการหาผลประโยชน์จากสถานะของพระองค์ ประกอบกับสมเด็จพระสังฆราชมิได้มีสถานะเพียงเป็นประมุขสงฆ์เท่านั้น พระองค์ยังมีตำแหน่งเป็นประธานมหาเถรสมาคมหรือเทียบได้กับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย เนื่องจากพระองค์มีพระชนม์อายุมากและทรงประชวร บางครั้งพระองค์ไม่ทรงรับรู้ในเรื่องราวต่างๆ แต่ผู้ใกล้ชิดก็พยายามแสดงให้เห็นว่าพระองค์รับรู้ โดยการพยักพระพักต์แต่สุขภาพของพระองค์เป็นปัญหาในการบริหารและการปกครองคณะสงฆ์ ต่อมาจึงมีการแก้ไขกฎหมายให้มีการแต่งตั้งคณะผู้ปฎิบัติงานแทนสมเด็จพระสังฆราช สมัยนั้น ดร.วิษณุ เครืองาม นี่แหละเป็นคนเสนอแก้ไขกฎหมาย ก็มีการประท้วงที่แต่งตั้งสมเด็จพุฒาจารย์ ( วัดสระเกศ ) กันพอสมควรก็คงจะได้เล่าเบื้องลึกให้ฟัง

พอมาถึงปี ๒๕๕๘ เรื่องลิขิตพระสังฆราชฟื้นคืนชีพมาอีก ก็มาอีหรอบเดิมนั่นแหละ ทำไมไม่จับพระธมฺมชโยสึกตามพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช 

ได้มีการทำหนังสือให้นายกประยุทธ จันทร์โอชารับผิดชอบ ท่านนายกท่านเคยเรียนหนังสือที่วัดนวลนรดิศ ท่านเป็นนายทหารซึ่งส่วนใหญ่ก็นับถือศาสนาพุทธท่านรู้ว่าอะไรเป็นอะไร รับเรื่องแล้วก็มอบให้รองนายกดร.วิษณุ เครืองาม รับผิดชอบ พอรู้ว่าดร.วิษณุฯ ต้องรับผิดชอบผมก็อดขำไม่ได้เพราะเดาออกว่าเรื่องจะไปทางไหน พอ ท่านก็ส่งหนังสือสอบถามเจ้าคณะปกครองสงฆ์จังหวัดปทุมธานี พระท่านก็ตอบยืนยันว่าเรื่องมันจบแล้วไม่อาจรื้อฟื้นมาใหม่ได้ พวกที่กระเหี้ยนกระหือรือที่จะจับพระธมฺมชโยสึกก็เลยเงิบไปตามระเบียบ 

ถามว่าดร.วิษณุฯ ท่านรู้ไหมว่าพระท่านจะตอบแบบนี้ ผมว่าท่านรู้นะ เพราะท่านรู้เรื่องเกี่ยวกับคณะสงฆ์เป็นอย่างดี โดยเฉพาะท่านนายกพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ท่านไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับพระสงฆ์องค์เจ้า พอคณะปฎิสังขรณ์เสนอจะทำอย่างโน้นอย่างนี้ พูดง่ายๆ จะออกกฎหมายให้ฆราวาสปกครองคณะสงฆ์ อ้างว่าคณะสงฆ์โดยมหาเถรสมาคมไม่ไหวแล้วมีแต่พระแก่ไม่ทันยุคทันสมัย ท่านนายกท่านไม่รับลูก แถมมีพระออกมาคัดค้าน ผมจะบอกอะไรให้ถ้าถึงคราวพระออกมาต้านท่านไม่กลัวหรอก อะไรจะเกิดมันก็เกิดอย่าไปคิดแทนท่าน ที่มหาเถรห้ามไว้นะถือว่าถูกต้องแล้ว ถ้าจะปรับปรุงแก้ไขอะไรก็บอกท่านเถอะ ท่านจัดการของท่านได้อย่าไปคิดแทนท่านเลย 

บ้านเมืองมีเรื่องวุ่นวายมากพอแล้วอย่าไปวุ่นวายกับศาสนจักรอีกเลย เย็นเข้าไว้โยม คุณลองไปศึกษาเรื่องการปกครองสงฆ์ดูซิ พระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาของพุทธศาสนาท่านให้ถือเอาอาวุโสเป็นหลัก โดยนับพรรษาที่บวชมิได้นับเอาอายุเกิด ศาสนาพุทธเจริญรุ่งเรืองมาถึงปัจจุบันก็เพราะพระพุทธเจ้าให้ถือเอาพระธรรมเป็นตัวแทนของพระองค์ และให้พระภิกษุเคารพนับถืออาวุโสในการบวช ไม่แยกว่าก่อนบวชเคยมีตำแหน่งในทางโลกมาเป็นเครื่องวัด เมื่อมาบวชเป็นภิกษุต้องเริ่มนับหนึ่ง ผมเป็นเด็กวัดเห็นหลวงพ่อห้ามทัพและพวกที่ปรามาสท่านไว้ก็เริ่มเข้าใจถึงจิตใจของพระบ้างผมก็เบาใจ
เรื่องของศาสนจักรนั้น พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ กฎมหาเถรสมาคม และพระธรรมวินัย สามารถควบคุมดูแลคณะสงฆ์ให้อยู่ในกฎกติกา ปัจจุบันคณะสงฆ์ไทยเป็นที่ยอมรับในประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ และได้มีการเผยแผ่ไปยังประเทศในแถบยุโรปมากขึ้น พระที่ไม่ดีนอกรีตก็พยายามกำจัดออกไป อย่าไปเหมารวมว่าทุกวันนี้มีแต่เรื่องเสียหาย ขอเวลาให้หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านบ้าง ต่อไปผมว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ก็ขอจบเรื่องพระลิขิตเพียงเท่านี้ ต่อไปถ้าสนใจก็คงจะเอาเรื่องอื่นมาเล่าให้ฟังต่อไป นมัสเตนะครับ

จุดจบพระลิขิต โดยทนายพระ




เบื้องลึก เบื้องหลัง ข้อเท็จจริง พระลิขิต เบื้องลึก เบื้องหลัง ข้อเท็จจริง พระลิขิต Reviewed by bombom55 on 04:57 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.